7/7/54

::อิทธิพลของคำผญาที่มีต่อวิถีชีวิตชาวอีสานแต่โบราณ

สะท้อนถึงจริยธรรมของมนุษย์
      ธรรมชาติของคนมีทั้งดีและเลวปะปนกันอยู่ ผญาภาษิตของอีสานเน้นให้เห็นชัดว่า  เนื้อแท้โดยธรรมชาติของมนุษย์เรานั้นดีบริสุทธิ์มาแต่กำเนิดแต่สิ่งแวดล้อมทำให้มนุษย์ต้องเลวได้เพราะการหลงผิด  ดังนั้นวรรณกรรมคำสอนจึงเป็นเหมือนเชือกที่คอยชักจูงไม่ให้คนหลงเดินในทางที่ชั่ว  จะสอนให้ยึดหลักจริยธรรมคือข้อควรประพฤติของคนในสังคมด้วย  จึงเน้นหนักไปทางจารีต(ฮีต)  และคองเพื่อคอยเตือนพี่น้องชาวอีสานไม่ให้หลงผิดเป็นชอบ  ด้วยอำนาจของ  อวิชชา ตัณหา  และกิเลสเข้าครอบงำซึ่งจะสอนทุกเพศ  ทุกวัย  ทุกชั้นวรรณของสังคมไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง  ซึ่งคำสอนจะบ่งชี้ในด้านจริยธรรมของนักปกครองที่ดีเอาไว้  ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์จะสอนในเรื่องฮีตพระครองสงฆ์ไว้เหมือนกับวินัยแต่จะเน้นในด้านหน้าที่ควรทำของนักบวช  ไม่ค่อยมีสอนมากนักเพราะท่านมีวินัยทางพระอยู่แล้ว   แต่สำหรับฆราวาสแล้วมีมากมายดังจะนำมากล่าวไว้ในที่นี้  ๕  ลักษณะ คือ
    ๒.๓.๒  สะท้อนถึงจริยธรรมในครอบครัว
โดยเน้นไปในทางความสัมพันธ์อันดีต่อกันระหว่างคนในครอบครัวและกำหนดหน้าที่ของคนเหล่านี้เอาไว้ด้วย  คือทุกฝ่ายต่างมีหน้าที่ของใครของมันอย่างเด่นชัด  ดังจะเห็นได้จากวรรณกรรมเรื่อง  ธรรมดาสอนโลก,  ท้าวคำสอน , สันทนยอดคำสอน  พระยาคำกองสอนไพร่  วรรณกรรมเหล่านี้จะเน้นความสัมพันธ์ของคนในสังคมได้ดี  และสอนหน้าที่ของสามและภรรยาไว้อย่างมากมาย  เพราะสังคมที่จะดีมาได้นั้นต้องมาจากครอบครัวที่ดีและสมบูรณ์เพราะเป็นสังคมระดับเล็กที่สุด  เช่นหน้าของภรรยาที่พึงปฏิบัติต่อสามีมีอย่างไร  สามีพึงมีข้อปฏิบัติอย่างไรกับภรรยาตนเอง  ลูกมีหน้าที่อย่างไรกับพ่อแม่  หลานๆมีหน้าที่อย่างไรกับคุณปู่คุณย่า  จึงมีวรรณกรรมประเภทหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า  “ปู่สอนหลาน  ย่าสอนหลานเป็นต้อน  เพราะหน้าที่อันนี้เป็นของปู่ยาตายายอยู่แล้วที่จะปลูกฝังศีลธรรมให้แก่ลูกหลาน  ให้รู้จักบาป บุญ  และอื่นๆอีกมากมายที่ย่าจะพึ่งสั่งสอน

    ๒.๓.๓  สะท้อนถึงหลักจริยธรรมของผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้ปกครอง
การสอนบุคคลในระดับนี้ส่วนมากมักจะสอนให้ยึดหลักเมตตากรุณาต่อผู้น้อย(บ่าวไพร่)ไว้อย่างชัดเจนเพราะจะไม่ทำให้เกิดความเดือนร้อนทั้งสองฝ่ายคือไม่ให้มีอคติสี่ประการในการเป็นผู้นำและผู้ใต้ปกครองก็จะเป็นคนมีคุณธรรม  คือผู้ปกครองจะเป็นใหญ่ได้ก็เพราะมีผู้ใต้ปกครองดี  ดังจะเห็นได้จาก  “ครองสิบสี่”  ของชาวอีสานที่ยึดถือกันมาแต่บรรพบุรุษ  นอกจากนั้นยังได้กล่าวสอนในเรื่องการบรรเทาทุกข์ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเช่นมีการสงเคราะห์กัน  อนุเคราะห์กันและกันเมื่อคนอื่นมีความเดือนร้อน  เรียกว่าการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน  พร้อมทั้งมีความฉลาดในการเลือกผู้ที่จะมาเป็นขุนนางด้วย  หรือเลือกท้าวพระยามหาอำมาตย์  ตลอดจนทูตานุทูต    และเน้นในเรื่องจริยธรรมของปวงประชาราษฎรเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง  จะมีปรากฏในวรรณกรรมเรื่องพระยาคำกองสอนไพร่เป็นต้น
    ๒.๓.๔สะท้อนถึงจริยธรรมสตรีและบุรุษ
วรรณกรรมประเภทคำสอนนี้มุ่งที่จะสอนสตรีมากกว่าบุรุษ  และกำหนดหน้าที่ของสตรีเข้าไว้มากกว่าของบุรุษ  อาจจะเป็นเพราะในอดีตนั้นสตรีอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรื่อนจึงมักจะสอนให้รู้จักหน้าที่ของหญิง  เพราะผู้หญิงเป็นมารดาของโลกก็ว่าได้  เมื่อมารดาดีลูกก็ดี  ดังนั้นวรรณกรรมคำสอนจึงเห็นว่าสอนสตรีไว้หลายแง่มากมายเริ่มจากรู้จักทอผ้า  เป็นต้น  และวรรณกรรมที่ม่งสอนก็มีเรื่อง  ท้าวคำสอน  จะเน้นไปในลักษณะสตรีแบบไหนควรเลือกมาเป็นภรรยา มีทั้งหมด  ๔๐  กว่าลักษณะคล้ายกับเป็นการดูนรลักษณ์ผู้หญิงอันแฝงไปด้วยภูมิปัญญาของผู้แต่งได้เป็นอย่างมากที่รู้ลักษณะผู้หญิงที่ละเอียดคล้ายกับเรื่องมายาของหญิงที่ปรากฏในพุทธศาสนา  ๔๐ประการ  และมีเรื่องอินทิญาณสอนลูก(สอนหญิง)  ธรรมดาสอนโลก  สิริจันโทยอดคำสอน  ย่าสอนหลานเป็นต้น
    ๒.๓.๕  สะท้อนถึงจริยธรรมของผู้ใหญ่และผู้น้อย
วรรณกรรมประเภทคำสอนนี้มุ่งที่จะสั่งสอนเด็กให้เห็นความสำคัญของความกตัญญูรู้คุณผู้มีบุพการีของตนเอง  อาทิเช่น  พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา และยาย  เมื่อท่านดำรงชีวิตอยู่ให้ตระหนักถึงพระคุณของท่านเหล่านี้  และดูแลท่านเมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วย  และเมื่อเวลาท่านละจากโลกไปแล้วทำบุญอุทิศส่งไปให้ท่าน  นอกจากนั้นยังสองให้รู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้หลักผู้ใหญ่ให้มีสัมมาคารวะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน  วิธีที่ทำคือจะพรรณนาถึงคุณที่ท่านได้อุตสาห์เลี้ยงดูลูกหลานมาเรียกว่าพระคุณของพ่อแม่  วรรณกรรมในเรืองนี้คือ ปู่สอนหลาน  ย่าสอนหลาน  อินทิญาณสอนลูก  และวรรณกรรมคำสอนในเรื่องอื่นๆที่ปรากฏในวรรณกรรมนิทานบ้าง  เป็นต้น
    ๒.๓.๖  สะท้อนถึงอำนาจในธรรมชาติ
เป็นการสอนถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวมนุษย์กับธรรมชาติ  โดยเน้นหนักในเรื่องที่มนุษย์เราจำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ  และมีความเหมาะสมพอดีกันระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ โดยสั่งสอนให้มนุษย์เคารพยำเกรงธรรมชาติ  อันได้แก่วิญญาณต่างๆที่สิ่งสถิตอยู่ในธรรมชาติที่มีอำนาจเหนือมนุษย์  อาจจะบันดาลให้คุณหรือโทษวรรณกรรมคำสอนจึงสอนให้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียด  ดังมีกล่าวไว้ในเรื่อง  ธรรมดาสอนโลก  เน้นการนำไม้อย่างไรมาปลูกบ้านจึงจะเหมาะสมหรือเป็นมงคล  บอกถึงการแสวงหาต้นไม้มาทำเป็นเสาเอกเสาโทของบ้าน  และบอกว่าไม้อย่างไรไม่ควรนำมาใช้สร้างบ้านโดยอ้างว่า  มันขะลำหรือเข็ดขวงเป็นการห้ามเอาไว้ของคนโบราณเพราะอาจมองเห็นว่าไม้บ้างอย่างนำมาทำแล้วอาจจะทำให้บ้านไม่มั่นคงถาวร  หรือเกิดการบิดงอได้ง่ายเพราะไม้มีความอ่อนนั้นเองจะทำให้ไม่ทนแดดทนฝน  โบราณจึงนำเอาคำว่าขะลำมาห้ามเอาไว้คนเราจึงจะเชื้อ  เพราะสอนให้เห็นว่าอาจจะมีเทวดาสิงสถิตย์อยู่บ้างหรือในบริเวณดอนปู่ตาเป็นต้น  เพราะชาวอีสานเคารพยำเกรงในเรื่องเหล่านี้มากทีเดียว
    ๒.๓.๗  สะท้อนถึงจริยธรรมระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
       โดยสอนเน้นให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกันในลักษณะเป็นการสามัคคีกันช่วยเหลือกันและกันในด้านต่างๆของสังคมเช่น  การขอแรงกันสร้างบ้าน, เกี้ยวข้าว ,และอื่นๆอาทิในด้านพิธีกรรมในสังคมที่คนเราจะต้องร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน  โดยมีวรรณกรรมคำสอนเป็นแก่นกลางในการผสานความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่คณะ  ให้มีแนวความคิดไปในทางเดียวกันง่ายทั้งการปกครองและการสั่งสอนด้วย  เช่น  งานแต่ง งานเลี้ยงผีปู่ตา  ผีตาแฮก  และพิธีของฝนด้วยการแห่นางแมว  แห่บั้งไฟ  และการไหว้ผีมเหสักข์หลักเมืองสิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่คนจะต้องร่วมแรงกันทำไม่ว่าผู้ปกครองหรือพระสงฆ์และชาวบ้านได้ร่วมกันทำขึ้น  วรรณกรรมคำสอนในด้านนี้มักจะเป็นฮีตสิบสองคลองสิบสี่เป็นหลัก  แต่อย่างไรก็ดีวรรณกรรมคำสอนของชาวอีสานยังเน้นในความผูกพันธ์ระหว่างพี่น้องลุง ป้า นา อา เป็นต้น  นอกจากนี้ยังมุ่งที่จะสอนให้มนุษย์รู้จักแบ่งปันความสุขกัน  และรู้จักให้ทานแก่คนยากจนอนาถาตามแนวพุทธปรัชญาและคตินิยมในทางพระพุทธศาสนาด้วย69

    ๒.๓.  ผญาภาษิตกับการดำรงตนสำหรับบุคคลทั่วไป
    เป็นคำสอนที่ปรารถนาให้ชุมชนในท้องถิ่นมีความรักสามัคคีกัน  ต้องการให้คนมีความรักต่อเพื่อนบ้าน  ไม่คิดโกรธเคืองพี่น้องร่วมสังคมเดียวกัน  ทุกคนควรคำนึงถึงความมั่นคง  ไม่ควรทำตนเองให้แก่ชุมชน  คำพูดกับความคิดควรตรงกัน  ไม่ควรกล่าววาจาเพ้อเจ้อ  ให้รู้จักระงับความโทสะ  และพิจารณาสิ่งต่างๆตามความเป็นสิ่ง  มากกว่าเชื่อโดยหลงงมงาย  และเคารพต่อผู้อาวุโสในบ้านเรือน  ให้มีความกตัญญูต่อท่าน  ทุกคนควรแสวงหาวิชาความรู้และไม่ควรลืมบุญคุณของครูอาจารย์  ให้มีความอดทนขยันหมั่นเพียรในการศึกษาทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม 
    ทุกคนควรยึดมั่นอยู่ในศีลธรรม  หมั่นทำทานรักษาศีล  ทำใจของตนให้บริสุทธิ์  รู้จักบาปบุญคุณโทษ  ควรเคารพในพระรัตนตรัย  สอนให้ทุกคนควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันแก่ผู้อื่นตามสมควร  ซึ่งเรียกว่ารู้จักกินทาน  ควรเลือกคบแต่คนดี  รู้จักปรับตัวเข้ากับคนอื่น  รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน  ไม่เป็นคนโอ้อวดตนเองว่าเก่งกว่าคนอื่น  ไม่ประมาทให้รู้จักระมัดระวังตนเองอยู่ตลอดเวลา  ไม่ควรมีอคติต่อทุกคน  ให้มีความซื้อสัตย์  รู้จักบริจาคทรัพย์  ละความโกรธและมีขันติธรรมมีใจหนักแน่น  ห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์  ห้ามไม่ให้ทำลายพระพุทธรูป  ศาสนสถาน  ทำร้ายพ่อแม่ญาติพี่น้องตน  ภิกษุสามเณร  ครูอาจารย์ตลอดจนพระราชา  และราชวงศ์  จะได้รับบาปกรรมหนักยิ่ง
    คนเฒ่าคนแก่ควรจะเข้าวัดฟังธรรม  ตลอดถึงปฏิบัติตามจารีตประเพณีของตนเอง  ควรละความโกรธ  ใส่ใจในการศึกษาธรรมพร้อมทั้งปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  ไม่ควรคิดถึงวัตถุภายนอกมากจนเกินไป  ควรแสวงหาอริยทรัพย์ภายใน  เมื่อถึงเวลาแก่ชรามาแล้วควรแสวงหาบุญกุศล  คือบุญในตอนเช้า  ให้ตักบาตรจังหันใน  บุญในตอนกลางวันให้ถวายอาหารเพล  บุญตอนค่ำให้เข้าวัดฟังพระธรรมเทศนา  บุญตอนมือค่ำให้แต่งขันดอกไม้  ตอนดึกให้สวดมนต์ภาวนา

ฺบ้านดอนเรดิโอออนไลน์

ส่งข่าวถึงกันและกัน

Recent Posts

www.bandonradio.blogspot.com = คลื่นแห่งสาระบันเทิง ..

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons