7/7/54

ฺ::ผญาภาษิต::บ้านดอนเรดิโอออนไลน์

ผญาภาษิต  หมายถึงคำสอนที่แฝงคติธรรม  ซึ่งเป็นถ้อยคำมีนัยเชิงเปรียบเป็นอุปมาอุปไมย  เพื่อให้ผู้ฟังหรืออ่านตีความหมายเองเองเช่นเดียวกับคำสุภาษิตภาคกลาง  ซึ่งผู้ที่ได้ยินได้ฟังสามารถนำไปประพฤติในทางดีงามหรือที่ถูกที่ควรได้  ดังตัวอย่างนี้  “ ทุกข์ยากไฮ้ขอขอดแลงงาย  อย่าสุลืมคำสัตย์เที่ยงจริงคำมั่น”  ( ทุกข์ยากไร้เพียงใดก็อย่าลืมคำสัตย์  คำจริง คำมั่นสัญญา)
การช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยากนั้นย่อมมีคุณค่ามากกว่าช่วยเหลือกันในยามร่ำรวยมิตรที่ดีก็มารู้ในคราวที่มิตรลำบากนี้เอง  คนดีหรือไม่ดีก็ดูได้ในเวลามีภัยนี้เอง  ซึ่งเป็นคุณธรรมสูงสุดที่ช่วยคำจุนโลกมนุษย์ให้มีความผาสุขร่มเย็นได้  ทั้งยังเป็นเครื่องวัดได้ว่าคนเมื่อมีธรรมประจำใจย่อมประเสริฐกว่ามีทรัพย์ภายนอกตั้งมากหมาย  ส่วนความลำบากที่เกิดเพราะความขาดแคลนอาหารนั้นยังพอทนได้  สุภาษิตนี้เน้นให้เห็นถึงความชื่อสัตย์สุจริตยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดเป็นหลักการและวิธีการต่างๆที่ช่วยให้คนมีคุณธรรมและจริยธรรมเพิ่มมากขึ้น ตลอดถึงให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ ความเห็นแก่ตัว  ให้มองเห็นความดีของคนอื่นในสังคม  ความรัก ความสามัคคีกัน  การไม่เบียดเบียน  การเสียสละมีเมตตาต่อกัน  ส่งเสริมระบบสังคมสงเคราะห์ให้คนอยู่ด้วยกันด้วยความเอื้อเฟื้อเผื้อแผ่ไม่เอาเปรียบกัน  การพึ่งพาอาศัยกันไม่ว่าชายหรือหญิง  ไพร่ผู้ดีมีหรือจนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน  คนรวยก็ช่วยเหลือคนจนด้วยการแบ่งปัน  ผู้ใหญ่ก็ช่วยเหลือเด็กด้วยการคุ้มครองป้องกัน  ท่านอุปมาไว้เหมือนดังน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า  ดังคำผญาคำสอนอีสานว่า
    มวงพี่น้อง        ต้องเพิ่งพากัน
    คราวเป็นตาย        ช่วยกันปองป้าน
    ยามมีให้        ปุนปันแจกแบ่ง
    คราวทุกข์ใฮ้        ปุนป้องช่วยปอง
    เทียมดังดงป่าไม้    ได้เพิ่งยังเสือ
    คนบ่ไปฟังตัด        คอบเสือเขาย้าน
    เสือก็อาศัยไม้        ในดงคอนป่า
    ฝูงหมู่คนบ่ฆ่า        เสือได้คอบดง๙
เนื้อหาแห่งคำสุภาษิตอีสานที่มุ่งจะสอนให้ชาวอีสานนั้นเข้าใจชีวิตว่ามีการเปลี่ยนแปลงไม่อยู่ในอำนาจของบุคคลใด  คือมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งธรรมดา  พร้อมทั้งสอนให้รู้จักทำช่วยเหลือตนเองเป็นหลักสำคัญ  ความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้านในการทำงานและให้รู้จักอดอ้อมทรัพย์ไว้ใช้ในคราวจำเป็น เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน  ให้รู้จักการผูกมิตรไมตรีต่อกันจะได้เป็นเกาะป้องกันความเสื่อมด้วยและจะได้ช่วยกันในยามทุกข์  สั่งสอนให้รู้จักทำงานอย่ารอคอยโชควาสนา  ความมั่งมีหรือยากจนนั้น  ความรวยหรือจนนั้นเป็นของกลางๆไม่เป็นของใครโดยตรงอยู่ที่ว่าใครจะนำเอาโอกาสนั้นๆมาเป็นประโยชน์ให้แก่ตนเอง  ซึ่งมีคำผญาสอนว่า
    อันหนึ่งครั้นอยู่บ้าน    หรือถิ่นแดนใด
    ครั้นเฮาทำความดี    โชคชัยมีหั้น
    ครั้นเฮาหนีจากบ้าน    ไปเนาในอื่น
    ครั้นเฮาฮีบก่อสร้าง    ชัยนั้นแล่นเถิง
    ส่วนว่าคนขี้คร้าน    แม้นอยู่ในใด
    เถิงจักนอนกองเงิน    ช่างตามคำแล้ว
    มื้อหนึ่งเขาจักต้อง    หากินดอมไก่
    แลเล่านอนสาดเหี้ยน    เม็นน้อยไต่ตอม๑๐
ความอดทนต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายนั้นเป็นที่รู้กันดีในสายเลือดชาวอีสานเพราะอิทธิพลของคำสอนเหล่านี้เองเป็นแก่นสารที่ช่วยให้ชาวอีสานไม่เป็นคนอ่อนแอ  และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง  ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท  ชีวิตจึงจะพบกับความสุข  ดังนั้นสุภาษิตอีสานก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ 
    หลักการปกครองในระดับท้องถิ่นหรือในระดับประเทศควรมีคุณธรรม  กล่าวคือให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  อย่ามีอคติต่อกัน  เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว  ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี  เว้นบาปมิตร  เว้นพาลชน  เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน  และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคมและอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์  แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น  และสอนให้รู้เท่าทันกับโลกธรรม  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์  และต้องประโยชน์สุขแก่มหาชน  ปรัชญาพื้นฐานของนักปกครองที่ดีหวังความสุขต่อส่วนรวมนั้นควรเว้นจากการมีอคติสี่ตลอดถึงให้ระงับความโกรธต่างๆด้วย ยิ่งเป็นข้าราชการควรคำนึงมาก  ดังคำสอนนี้
อันว่าจอมราชาเหมือนพ่อคิงเขาแท้จิ่ง      ให้ไลเสียถิ้มอะคะติทั้งสี่ พญาเอย
โทสาทำโทษฮ้ายโกธากริ้วโกรธแท้เนอ   จงให้อินดูฝูงไพร่น้อยชาวบ้านทั่วเมือง
ชาติที่เป็นพญานี้อย่ามีใจฮักเบี่ยงพญาเอย อย่าได้คึดอยากได้ของข้าไพร่เมืองเจ้าเอย
ละอะคะติสี่นี้ได้จึงควรสืบเสวยเมือง        ทงสมบัติครองเมืองชอบธรรมควรแท้๑๑
    นักปรัชญาอีสานมีทรรศนะต่อชีวิตอย่างไรนั้น  ถ้านำหลักทางจริยธรรมมากล่าวก็จะสามารถมองถึงพื้นฐานของชีวิตได้เป็นอย่างดี  นั้นคือทุกชีวิตควรกระทำอย่างไรจึงจะมีความสุข  ยิ่งกว่านั้นควรมองว่าชีวิตควรประพฤติอย่างไรจึงจะพบกับความสุข  นั้นเป็นปัญหาเชิงญาณวิทยาจะต้องแสวงหาความรู้มาเป็นคำตอบ  แต่ปรัชญาชาวบ้านนั้นมักจะมองถึงความสัมพันธ์สิ่งที่จะต้องเว้นให้หางมากกว่าชึ่งปรากฏในปรัชชาวอีสานเว้นจากสิ่งที่เป็นบาปกรรม คือให้รักษาศีลห้า  ดังคำสอนนี้
    คือว่าปาณานั้นบ่ให้ฆ่ามวลหมู่ชีวิต     อทินนาบ่ให้ลักโลภของเขาแท้
    กาเมบ่ให้หาเสพเล่นกามคุณผิดฮีต      เจ้าของมีอย่าใกล้ให้หนีเว้นหลีกไกล
    อันว่ามุสานั้นคำจาอย่าตั่วะหล่าย        คำสัจจะมีเที่ยงมั่นระวังไว้ใส่ใจ
    โตที่ห้าคือสุราปัญหาใหญ่             ฮอดเมรัยอย่าได้ใกล้มวลนี้สิบ่ดี
    เสียสติจริงแท้กรรมเวรบ่ได้ปล่อย        ความถ้อยฮ้ายสิไหลเข้าสู่ตัว
นั้นเป็นขั้นมูลฐานของชีวิตจริงๆ  ซึ่งชนชาวอีสานยังดำรงยึดมั่นในคำสอนเหล่านี้อยู่อย่างดีคำสอนเหล่านี้มุ่งเน้นให้เห็นถึงความสุขขั้นพี้นฐานของชีวิตทุกขีวิตที่เกิดร่วมกันในโลกนี้  ทุกสังคมย่อมมีปัญหามากน้อยต่างกันไปเหตุปัจจัย  ดังนั้นสังคมที่ปรากฏในภูมิปรัชญาชาวอีสานยังชี้ไปให้ลึกถึงแก่นของสังคมนั้นคือ  อิทธิพลของหลักธรรมในพุทธศาสนาที่ค่อยสะสมขึ้นจนเปี่ยมล้นอยู่ในสายธารศรัทธาของชาวไทยอีสาน  แล้วตกตะกอนเป็นแรงศรัทธาที่ซึมซับเอิบอาบจนกลายเป็นจิตนิสัย  และบุคคลิกภาพของพุทธศาสนิกชนที่เคารพต่อพระรัตนตรัยอย่างลึกซึ่ง  ดังสุภาษิตอีสานว่า
    ศีลกับธรรมพาเฮาดีได้    ควรตัดสินใจน้อมเข้าเพิ่ง
    รัตนะ พระไตรหน่วยแก้ว    แนวพายั้งอยู่ซุ่มเย็น
    ไผบ่อถือศีลธรรมวางถิ่ม    เป็นคนเสียชาติเปล่า
    ไผบ่อเซื่อธรรมพระพุทธเจ้า    ตายถิ่มค่าบ่มี๑๒
โดยเฉพาะบุคคลผู้ที่ได้ผ่านการบวชเรียนมาแล้วจนมีภูมิธรรมซึ่งวัดเป็นผู้ถ่ายทอดมาให้จนสามารถสร้างสรรงานด้านปรัชญาธรรมในพุทธศาสนามาเป็นปรัชญาท้องถิ่นได้  จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมพุทธศาสนาทรงอิทธิพลต่อสังคมชาวอีสานอย่างลุ่มลึกและสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน  กวีชาวอีสานได้ผลิตผลงานต่อสังคมและได้นำเอาคติทางพุทธศาสนามาผสมผสานกันอย่างสนิทแนบแน่นจนกลายเป็นเอกลักษณ์  อิทธิพลเหล่านี้จึงค่อยๆซึมซับมาตามสายธารทางปรัชญาจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวอีสาน 
ผญาคำสอนภาคอีสานนั้นมักจะเน้นให้คนรู้ถึงทางเสื่อมอีกอย่างที่ควรเว้นให้ห่างไกลถ้าต้องการที่จะพบความสุข  คืออบายมุขซึ่งในพุทธภาษิตก็สอนว่าเป็นทางของความเสื่อม  ปรัชญาอีสานก็มองเห็นเช่นกันว่าจริงทุกประการ “อย่าได้มัวเมาเล่นการพนันเบี้ยโบก  ลางเทื่อโชคบ่ให้ถงเป้งสิขาดกลาง” (82 ของเก่าบ่เล่ามันลืม ) ถ้าใครหลงเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วย่อมมีแต่เสื่อมโดยถ่ายเดียว  ดังคำกลอนสุภาษิตอีสานว่า
อันว่าการพนันนี้มันอัปปีจังไฮใหญ่    ทางหลวงเผิ่นกะห่ามทางเจ้าเพิ่นหากเตื่อน
คันแม่นหลวงจับได้พาเสียเงินเกินขีด     บ่อแม่นเสียถ่อนนั้นมันเสียหน้าตื่มนำหลานเอย
คันว่าในธรรมเจ้าองค์พุทโธเผิ่นแยงโลก  เฮาบ่มีดีสังดอกเจ้าการพนันเล่นถั่ว
มีแต่ชั่วอ้อยต้อยบ่ควรเล่นแม่มันดอกนา...มันชวนให้ใจกล้าขะโมยกินของท่าน
คันแม่นลักได้แล้วผัดมาเล่นต่อไป  มันบ่มีทางได้การพนันมีแต่ขาด
บ่มีบาดสิได้เงินล้านเข้าใส่ถงดอกนา...อันนี้มันหากแม่ความฮ้ายทางธรรมพระเจ้ากล่าว
ให้พวกเฮาหิ่นฮู้แล้วเซาเล่นต่อไป  คันสิว่าเสียเงินแล้วเฮือนซ้ำเสียต่อ
ลางเถื่อเสียเมียพร้อมนำย้อนฆ่ากัน ๑๓
หลักธรรมเหล่านั้นกวีมักจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวพุทธและจารีตประเพณีของอีสานด้วย  โดยมีหลักธรรมดังนี้คือ  กฎแห่งกรรม  คำสอนอีสานส่วนใหญ่มักจะเน้นเรื่องกฎแห่งกรรม  โดยเน้นให้เห็นถึงผู้มีความโลภ  โกรธ  หลง  มักจะได้รับวิบากกรรมในบั้นปลายของชีวิต  กฎแห่งสังสารวัฏ  คือการเวียนว่ายตายเกิดจะดีหรือเลวก็อยู่ที่ผลของกรรมที่ตัวเองทำทั้งสิ้น  นั่นคือมนุษย์ที่เกิดในชาตินี้ย่อมเสวยผลของกรรมที่ตนเองทำไว้ในชาติปางก่อนทุกคน  กฎพระไตรลักษณ์  คือกวีมักจะเสนอให้เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ย่อมตกอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนั้นคือ  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  จะสอนให้รู้ถึงความไม่เที่ยงเหล่านี้ไว้เสมอ
อำนาจ  คือธรรมชาติฝ่ายต่ำของมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง  ที่สามารถให้คุณหรือให้โทษแก่มนุษย์ได้  ถ้านำอำนาจไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรมย่อมส่งผลต่อมนุษย์  ดังนั้นนักปรัชญาอีสานจึงต้องมีการสอดแทรกคติธรรมในการใช้อำนาจ  ของตนเองให้อยู่ในกรอบประเพณีวัฒนธรรมซึ่งจะพบมากในคลองสิบสี่ซึ่งเป็นธรรมเนียมการปกครองดังเดิมที่ชาวอีสานพยาสอนลูกหลานให้เข้าใจถึงหลักการเมืองการปกครองควรยึดหลักธรรมเป็นวิสัยทัศน์ในการดำรงตำแหน่ง

เชื่อในชาติหน้า คือวรรณกรรมมีจุดหมายเพื่อสร้างความเชื่อเกี่ยวกับโลกและจักรวาล  วรรณคดีอีสานจะดำเนินเรื่องอยู่กับโลกในเชิงจิตวิสัย  นั่นคือ  โลก  สวรรค์  นรก  เมืองบาดาล  และโลกของพระศรีอารย์  และมีการสอดแทรกอยู่ในผญาภาษิตอีสาน  ดังนั้นแก่นเนื้องหาสาระของสุภาษิตจึงมักจะนำเอาหลักธรรมมาแทรกเอาไว้ด้วย  เพื่อสั่งสอนคนให้ตั้งอยู่ในคุณงามความดี  ลักษณะทางเนื้อหาของคำผญาภาษิตสามารถแบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆได้ดังนี้คือ

ฺบ้านดอนเรดิโอออนไลน์

ส่งข่าวถึงกันและกัน

Recent Posts

www.bandonradio.blogspot.com = คลื่นแห่งสาระบันเทิง ..

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons