6/7/54

::บ่อเกิดของคำผญาภาษิตอีสาน::บ่าวริมโขง::bandonradio

ผญาภาษิต
เป็นคำสอนที่ให้คติธรรมอันลึกซึ้งแก่ชาวอีสานมาอย่างยาวนาน  และเป็นคำสอนในลักษณะเปรียบเทียบ  หรือให้ชี้ให้เห็นสัจจธรรมในการดำเนินชีวิต  ผญาภาษิตอีสานมีรากฐานมาจากคำสอนในทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนสุภาษิตที่มีอิทพลต่อคำผญาภาษิตอีสานเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อม  ไม่ได้สอนโดยทางตรง  เมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย  โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์  ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม  เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม  ผญาภาษิตนี้ส่วนมาจากคำสอนในหนังสือวรรณคดีเรื่องต่างๆ
สุภาษิตอีสานโดยภาพรวมจึงเกิดมาจากวรรณคดีทั้งทางศาสนาและประเพณีวัฒธรรมของชาวอีสานเป็นส่วนใหญ่  เพราะวรรณกรรมทางภาษาซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน  คือใช้วรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายเป็นสื่อในการสั่งสอนจริยธรรมตลอดถึงวิถีดำเนินชีวิต  ตามความเชื่อและมีการตัดสินความดีความชั่วในสังคมด้วย   ดังนั้นสุภาษิตอันเกิดจากวรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายจึงเป็นภาพสะท้อนถึงชีวิตคนและสังคมชาวอีสาน  พอจะนำมากล่าวถึงมี  ๔ ประการใหญ่ดังนี้ คือ
๒.๑.๒  ลักษณะของพุทธภาษิต
    ลักษณะทั่วไปของพุทธศาสนสุภาษิตนั้นจัดแบ่งได้  ๒  ลักษณะ  คือ ๑.  ลักษณะทางฉันทลักษณ์  ๒.  ลักษณะทางเนื้อหา
    ๑. ลักษณะทางฉันลักษณ์
เป็นคำร้อยกรองในภาษาบาลีเรียกว่า  ฉันทลักษณะ  เป็นคำประพันธ์ที่กำหนด  ครุ  ลหุ  กำหนดจำนวนคำตามข้อบังคับของฉันท์แต่ละชนิด  ฉันท์  ๑  บท  เรียกว่า ๑ คาถา  ฉันท์  ๑ คาถา  มี  ๔  บาท  ฉันท์  ๑ บาทมี  ๘  คำ  ไม่เกิด  ๑๑  คำ  หรือ  ๑๔  คำ  ตามประเภทของฉันท์  นี้เป็นฉันท์ประเภทหนึ่งที่เรียนรู้และรู้จักกันเป็นอย่างดีในวงการภาษาบาลีในประเทศไทย  ๖  ชนิด๕  คือ (๑ )  ปัฐยาวัตรฉันท์  (๒)  อินทรวิเชียรฉันท์  (๓)  อุเปนทรวิเชียรฉันท์  (๔)  อินทรวงศ์ฉันท์  (๕)  วังสัฏฐฉันท์  (๖)  วสันตดิลกฉันท์
    อีกนัยหนึ่งแบ่งตามลักษณะของวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า  ลักษณะเนื้อหาของพุทธภาษิต  ผู้เชียวชาญทั้งหลายได้แบ่งเนื้อหาของสุภาษิตในพระพุทธศาสนาออกเป็นประเภทต่างๆ  ตามลักษณะของรูปแบบคำสอนในพุทธศาสนาเรียกอีกอย่างว่า  “นวังคสัตถุศาสตร์”๖  คือคำสอนของพระศาสดามีองค์  ๙  พุทธพจน์มีองค์ประกอบ  ๙ อย่าง  คือ
    ๑  )  สุตะ  คือคำสั่งสอนที่เป็นพระสูตรและพระวินัย  รวมทั้งคัมภีร์ทั้งสองด้วยโดยมีลักษณะเป็นสูตร  ซึ่งประกอบไปด้วยระเบียบแบบแผนมีลำดับขั้นตอนต่างๆ  อันมีข้อธรรมเป็นลักษณะคือ จากข้อหนึ่งถึงสิบข้อ
    ๒  )  เคยยะ  คือ  คำสอนที่เป็นลักษณะทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน  ได้แก่พระสูตรที่มีคาถาทั้งหมด
    ๓  )  เวยยากรณะ  (ไวยากรณ์)  คือคำสอนเป็นแบบร้อยแก้วล้วนได้แก่พระอภิธรรมปิฏกทั้งหมด  และพระสูตรที่ไม่มีคาถา
    ๔  )  คาถา  คือ  คำสอนแบบร้อยกรองล้วนๆ  เช่น  ธรรมบท, เถรคาถา,  เถรีคาถา
    ๕  )  อุทาน  คือ  คำสอนที่เปล่งออกมาเป็นคำที่มีความหมายต่างๆตามสถานการณ์นั้นๆ  เช่น  สมัยเกิดความสังเวช , สมัยเกิดความปีติยินดีบ้าง  ซึ่งเป็นพระคาถา  ๘๒  สูตร
    ๖.  )  อิติวุตตกะ  เป็นเรื่อง  อ้างอิง  คือการยกมากล่าวอ้างของพระสังคีติกาจารย์ผู้รวบรวมโดยไม่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้แก่ใคร  ที่ไหนชื่อพระสูตรเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วยคำว่า  วุตตัง  เหตัง  ภควตา  (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้)  เหมือนกันหมด  จึงเรียกว่า  อิติวุตตกะ  แบ่งเป็น  ๔  นิบาตมีทั้งหมด  ๑๑๒ สูตร
    ๗  )  ชาดก  คือ  คำสอนที่กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตทั้งที่เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธเจ้าบ้าง  สาวกบ้าง เป็นธรรมภาษิตในลักษณะการเล่านิทานธรรมอยู่ในเรื่อง  ส่วนมากจะเป็นนิบาตชาดก
    ๘.  )  อัพภูตธรรม  คือคำสอนที่เป็นเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจหรือเรื่องปาฏิหาริย์
    ๙.  )  เวทัลละ  คือคำสอนที่สูงขึ้นไปตามลำดับ  อาศัยการวิเคราะห์แยกแยะความหมายอย่างละเอียด เช่นพระอภิธรรมเป็นต้น
๒  ลักษณะทางเนื้อหา
เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาและความหมายของพุทธธรรมแล้วอาจแบ่งได้  ๒ ลักษณะด้วยกัน  คือ  ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวงและสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
๒.๑  ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวง
ตามนัยนี้  มีความหมายปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล  รวมทั้งสิ่งที่เป็น สังขตะและอสังขตะ  ทั้งที่เป็นรูปและเป็นนาม  ทั้งส่วนที่เป็นโลกีย์และโลกุตตร๑
สังขตธรรม  ได้แก่สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง  ซึ่งอาจทราบได้ในลักษณะต่อไปนี้  “มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น  เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางและแตกดับไปในที่สุด”๒  อสังขตธรรมนี้ได้แก่พระนิพพาน  อันเป็นความดับทุกข์โดยเด็ดขาด  ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้เลย  แต่มีลักษณะให้ทราบได้  ๓ ประการ คือ  “ไม่เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ดับไปปรากฎ  และขณะที่ดำรงอยู่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงปรากฏ” ๓
มีข้อที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ  สังขตธรรมนั้นหมายเอาทั้งโลกุตตรธรรม  ๘ ประการ อันมีมรรค  ๔ ผล ๔ ด้วย  ส่วนอสังขตธรรมหมายเอาพระนิพพานอย่างเดียว  ซึ่งก็จัดว่าเป็นโลกุตตรธรรมเหมือนกัน  ในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงลักษณะของสิ่งทั้งปวงไว้หลายอย่าง  เช่น  ธรรมตา, ธรรมธาตุ, ธรรมฐิติตา, ธรรมนิยามตา, ซึ่งแต่ละคำก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พุทธธรรมะคือสิ่งหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวเอง  มีความถูกต้องและเป็นอิสระในตัวเองโดยสมบูรณ์  มันเป็นกฎของจักรวาลหรือเป็นกฎเกณฑ์อันหนึ่งของธรรมชาติ  ซึ่งคงอยู่ชั่วนิรันด์และมิไดถูกสร้างขึ้นใหม่  เป็นสภาพที่มีอยู่อย่างนั้น  พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม  มิได้ทรงอุบัติก็ตาม  สภาวะที่เรียกว่า ธรรมะ  นั้น  ก็คงอยู่อย่างนั้น  มิได้เปลี่ยนแปลงอย่างอื่น ดังพุทธพจน์ตรัสว่า  “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง  สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์  และธรรมทั้งป่วงเป็นอนัตตา”๔
ทั้ง  ๓ ลักษณะนี้เรียกว่ากฎของธรรมดาหรือธรรมชาติ  ข้อหนึ่งและสองใช้กล่าวถึงธรรมชาติของสังขตธรรม  คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง  ส่วนข้อสุดท้ายใช้กล่าวถึงธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นใช้กล่าวถึงทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม  ดังพุทธพจน์ที่มาในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย  เป็นหลักฐานยืนยันข้อความข้างบนนั้นได้เป็นอย่างดีคือ
“ตถาคตเจ้าจะอุบัติขึ้นก็ตาม  จะไม่อุบัติขึ้นก็ตามธรรมเหล่านี้ก็คงอยู่อย่านั้น  ตั้งอยู่อย่างนั้น  และเป็นอยู่อย่างนั้น  คือสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง  สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์  และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา  ธรรมเหล่านี้ตถาคตได้รู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเองแล้วจึงได้นำมาประกาศแก่คนอื่น”
ได้ความว่าทั้งสังขตธรรมและสังขตธรรมที่กล่าวมานั้นรวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงอันเป็นสภาวะที่มีอยู่เดิม  และคงอยู่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตามไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม  จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม  สภาวะนั้นก็คงอยู่อย่างนั้น  มิได้ถูกสร้างขึ้นมิได้ถูกทำลายโดยผู้ใดผู้หนึ่ง  พระพุทธเจ้ามิได้เป็นผู้สร้างขึ้น  เป็นเพียงผู้ค้นพบแล้วนำมาสอนคนอื่นเท่านั้นดังพุทธพจน์ว่า  “พวกเธอจงพยายามทำความเพียรบากบั่นเองเถิด  เราตถาคตเป็น  แต่ผู้บอกแนวทางให้เท่านั้น”๕
๒.๒.ลักษณะที่เป็นคำสอน
ลักษณะคำสอนนี้ก็รวมอยู่ในคำว่า  สิ่งทั้งปวงนั้นเอง  พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างไรหรือมีอะไรที่พระพุทธองค์ทรงสอน  และมีสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสั่งสอน  พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีพระนามว่า สัพพัญญู  แต่พระองค์มิได้ทรงสอนทุกอย่างที่พระองค์ตรัสรู้  ทรงสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในการปฏิบัติ  เพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่า ธรรมหรือคำว่าศาสนาซึ่งหมายเอาทั้งปริยัติ (ทฤษฎี)และปฏิบัติ และปฏิเวธคือการรู้แจ้งแทงตลอดด้วย  จะเห็นได้ว่าพุทธภาษิตนั้นเป็นคติเตือนใจของพุทธศาสนิกชนได้  จนบางครั้งสามารถเป็นกำลังใจและสามารถมีผลทำให้คนหยุดกระทำความชั่วได้นอกจากนั้นสุภาษิตก็ยังได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระธรรมวินัย  เป็นที่พึ่งแทนพระองค์สมดังพุทธวจนะมาในมหาปรินิพพานสูตรความว่า
    “อานนท์  พวกเธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า  พระธรรมวินัยมีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว  พระศาสดาของพวกเราไม่มีแล้ว,  อานนท์  พวกเธอทั้งหลายไม่ควรเข้าใจอย่างนั้นแล้ว  สำหรับพวกเธอทั้งหลายนั่นแล  จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย  ในเมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว”๖
    พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมแก่ประชาชนด้วยวิธี  ๓  อย่างด้วยกัน  และวิธีการทั้ง  ๓  นี้ถือว่าเป็นหลักการสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีข้อดังนี้๗
    ๑)  พระองค์ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
    ๒)  ทรงสั่งสอนมีเหตุผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
    ๓)  ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การปฏิบัติ
    อีกนัยหนึ่งเนื้อหาสาระแห่งพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานแก่พุทธบริษัทเสมอๆนั้น  ประมวลลงในหลักการ  ๓  อย่างคือ๘
    ๑ )  สั่งสอนให้เว้นจากการทำบาปทั้งปวง ทุจริต
    ๒)  สั่งสอนให้ทำกุศลทั้งปวง
    ๓)  ทำจิตให้ผ่องแผ้ว
ในคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าวยืนยันถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธปัญหาทางอภิปรัชญา ๑๐ ประการเรียกว่า อพยากตปัญหาหรือปัญหาโลกแตก  แต่พระองค์ทรงตรัสสอนอริยสัจ  ๔ ประการเป็นคำสอนของพระองค์  คือ เรื่องทุกข์  เหตุให้ทุกข์เกิด  ความดับทุกข์ และทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นคำสอนของเราตถาคต  โปฏฐปาทะทูลถามต่อไปอีกว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงสอนสิ่งเหล่านี้  พระพุทธเจ้าทรงตรัสอรรถาธิบายต่อไปอีกความว่า
“ที่เราสอนเรื่องนี้  เพราะมันเป็นประโยชน์  เป็นความจริง เป็นวิถีแห่งชีวิตอันประเสริฐ  ไม่ติดอยู่ในโลก  เป็นไปเพื่อดับตัณหา  เป็นไปเพื่อความสงบระงับใจ  เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง  และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน  ดังนั้นเราจึงได้นำมาสอนแก่สาวกทั้งหลาย”๙
จากพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า อริยสัจ ๔ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเป็นคำสอนที่พระองค์ทรงเน้นให้เห็นถึงปัณหาชีวิตในปัจจุบันที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามประสบอยู่สิ่งนั้นคือ ทุกข์  พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า  ชีวิตเต็มไปด้วยทุกข์ในบางครั้งที่รู้สึกว่าเป็นสุขนั้นเป็นเพียงความหลงเท่านั้น  ที่แท้แล้วสิ่งที่เรียกว่าสุขนั้น  ก็คือความทุกข์นั้นเอง  ทุกข์ดังกล่าวนี้เกิดมาจากตัณหา  เมื่อไม่มีตัณหาก็ไม่มีทุกข์อีกต่อไป  พุทธภาษิตแล้วมีลักษณะทางคำสอนดังนี้คือ
๑ )หลักคำสอนในพุทธศาสนา  เป็นหลักธรรมทางเสรีภาพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก  มีหลักการและวิธีการอันไม่ประกอบด้วยกาลเวลา  เมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติตามย่อมได้ผลทันตา
๒ )  พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ
๓.)  พุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่กันด้วยความมีเสรีภาพไม่เบียดเบียนกัน ให้เลิกดูหมิ่นกัน  เพราะถือชาติ  วรรณะ  โคตร  โดยมองให้เห็นว่าเป็นแก่นสารแห่งชีวิต  แต่กลับสอนให้มนุษย์มองถึงฝ่ายใน  คือความมีศีลธรรมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิ้นคนดีหรือชั่ว
    ๔.)  หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักการเสียสละ  การเว้นการฆ่าสัตว์ตลอดถึงการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน  พุทธภาษิตเน้นวิธีการให้เกิดความสังคมสงเคราะห์  แทนการเอาเปรียบกันและกัน  และสอนให้หันมาชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดแทนซึ่งเป็นการทำบุญที่สูงสุด
    ๕ )  พุทธพุทธเจ้ามุ่งสั่งสอนวิธีตรงเข้าหาความจริงและให้รู้จักกับความเป็นจริงของชีวิต  โดยมองว่าชีวิตมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งพระไตรลักษณ์  รวมทั้งสอนให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ตรงไปตรงมาไม่ควรเชื้อเรื่องฤกษ์ยาม  น้ำศักดิ์สิทธิ์  แต่กับสอนให้รู้จักทำช่วยตนเองเป็นหลักสำคัญ  และสอนให้มนุษย์เข้าใจถึงการเกิดในภพต่างๆ  เพราะแรงแห่งตัณหาเป็นปัจจัย
    ๖.)  พุทธภาษิต  เป็นวิธีการสอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม  โดยไม่มองข้ามปัญหาทางเศรษฐกิจ  สอนให้แก้ความชั่วด้วยความความดี  สอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อน  โดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้วจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย
๗ )  พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์ตระหนักถึงเรื่องของสติปัญญาในการดำเนินชีวิต  โดยให้ใช้ความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา  ด้วยการพิจารณาให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์  แล้วแก้ไขให้ตรงจุด  ไม่ให้เชื้ออย่างงายไร้เหตุผล
๘ )  พุทธภาษิตมุ่งเน้นให้มนุษย์ยึดถือธรรมเป็นใหญ่  เรียกว่าธรรมาธิปไตย  ไม่ให้ยึดถือตนเป็นสำคัญ  และให้ถือการปฏิบัติเป็นสำคัญในการบูชา
๙.)  พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์พยายามพึ่งตนเอง  และฝึกฝนตนเองมากกว่าพึงพาผู้อื่น  เพื่อยกระดับชีวิตตนเองให้ก้าวหน้า  ไม่สอนให้รอการอ้อนวอนบวงสรวงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์  และยึดหลักว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของๆตน  ด้วยการทำดีได้ดีนั้นเอง
๑๐ )  พุทธภาษิตพยายามไม่สอนให้พุทธบริษัทอย่าเชื้อถือสิ่งได้ด้วยการเด่า  แต่ให้เชื่อหลักของพุทธศาสนาที่มีหลักการดีกว่า
๑๑ )  พุทธภาษิตเสนอหลักการให้มนุษย์ทำความดีงามเพราะเห็นแก่ความดี  ไม่ทำความดีเพื่อมุ่งลาภ  ยศ  สรรเสริญ  และพุทธศาสนาก็มีหลักการที่พิสูจน์ได้ทุกสมัย
๑๒ )  พุทธภาษิตต้องการให้มีความขยันหมั่นเพียร  ไม่เกียจคร้าน  ยิ่งเป็นฆราวาสย่อมต้องใช้หลักธรรมนี้ให้มาก  เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน  จึงจะตั้งตัวได้ดี
    ๑๓ )  พุทธภาษิตต้องการให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี  ให้ระงับการจองเวรต่อกัน  และอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้แก่ผู้อื่น  ให้รู้จักการผูกไมตรีต่อกัน  โดยการเอื้อเพื้อเผือแผ่แก่กันและกันคือสละสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน  สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ  สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตและสุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
    ๑๔ )  พุทธภาษิตต้องการสอนให้มนุษย์มีความอดทน  ต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย  ไม่เป็นคนอ่อนแอ  และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง  ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท  ชีวิตจึงจะพบกับความสุข  ดังนั้นพุทธภาษิตก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ 
    ๑๕ )  พุทธภาษิตต้องการเสื่อให้เห็นหลักการปกครองที่เป็นธรรม  โดยยึดหลักความละอายต่อความบาป  และความชั่วทั้งหลาย  ทั้งผู้นำรัฐและผู้ปกครองในระดับท้องถิ่นควรมีหลักธรรมอย่างนี้  พุทธศาสนาสอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  อย่าดูหมิ่นผู้อื่นเพราะชาติตระกูล  เพราะทรัพย์  และอย่ามีอคติต่อกัน  เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว  ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี  เว้นบาปมิตร 
    ๑๖ )  พุทธภาษิตสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าในการดำเนินชีวิต  และสอนให้รู้จักการศึกษา เข้าหาผู้เป็นบัณฑิต  และเว้นพาลชน  เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน  และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคม  และอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์  แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น  และสอนให้มองดูธรรมชาติโดยความเป็นจริง  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์  และต้องพยายามเดินตามแนวทางสายกลางย่อมเป็นประตนและผู้อื่นตลอดถึงประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน
    ๑๗. )  พุทธภาษิตสอนให้ยึดปรมัตถ์ประโยชน์  อย่าหลงในสิ่งอันเป็นสิ่งสมมติอันเป็นสิ่งบัญญัติ   แต่ดูโดยรู้เท่าทัน  พยายามใช้ปัญญาเป็นเครื่องส่องทางแห่งชีวิตตน  พุทธภาษิตสอนให้รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณว่าเป็นสิ่งมงคล และสอนให้รู้จักหลักการดำเนินไปสู่พระนิพพาน  ว่าเป็นยอดแห่งความสุข 

bandonradio

ส่งข่าวถึงกันและกัน

Recent Posts

www.bandonradio.blogspot.com = คลื่นแห่งสาระบันเทิง ..

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons