6/7/54

::ลักษณะคำผญาเกี้ยวสาว::บ่าวริมโขง::bandonradio

ผญาเกี้ยว
    เป็นคำผญา  พูดจากัน  เพื่อเป็นสื่อในการติดต่อซึ่งกันและกันนั้นคนอีสานเรียกว่า  การจ่ายผญา  บุญเกิด  พิมพ์วรเมธากุล๒๒  กล่าว่าการจ่ายผญานั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนปัญญาก่อนไม่สามารถพูดจาตอบโต้ได้ก็จะแสดงว่าฝ่ายนั้นมีภูมิปัญญาด้อยกว่าอีกฝ่าย  ฉะนั้นการจ่ายผญาจึงเป็นวิธีการทดสอบภูมิปัญญาขอบคนอีกอย่างหนึ่งที่นิยมกันของชาวอีสานในอดีต  ด้วยเหตุนี้คนอีสานในสมัยก่อนจึงต้องเรียนรู้ คำผญา  ไว้ให้มากที่สุด  เท่าที่จะหาได้  โดยเรียนจากพ่อแม่  ปู่ย่า ตายาย  หรือญาติพี่น้องของตนเองบ้าง  แล้วจึงไปเรียนรู้จากผู้เฒ่าผู้แก่  ที่มีความรู้ในหมู่บ้านของตน  วิธีเรียนนั้นก็ใช้วิธีบอกโดยผู้เรียนต้องจำเอาตามที่ผู้สอนบอก เรียกว่ามุขปาฐะนั้นเองคำผญาที่เรียนในช่วงแรกๆจะเป็นคำผญาที่จำเป็นต้องใช้ในชีวีตประจำวัน  เช่นคำผญาเกี่ยวกับการถามข่าว  ถึงสาระทุกข์สุขของกันและกัน  ใช้ถามถึงพ่อแม่ พี่น้อง หรือถามถึงสถานภาพทางครอบครัวว่ายังโสดหรือว่ามีแฟนแล้ว จึงพัฒนามาเป็นผญาเกี้ยวระหว่างหนุ่มสาว  ใช้จ่ายผญาติดต่อกัน
    นอกจากนี้ยังมีการจ่ายผญาในประเพณีต่าง  คือประเพณี อ่านหนังสือผูก หรือในงานบุญต่างๆที่ชาวบ้านจัดขึ้น เช่น  งานงันเฮือนดี (งานศพ) งานงันหม้อกรรม( การฉลองสตรีที่อยู่ไฟหลังคลอด) เป็นต้น  ชาวบ้านจะมาร่วมชุมนุมช่วยเหลือกันด้วยน้ำใจไมตรี  หรือในเวลาลวงข่วงเข็นฝ้าย ในการตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง  และในงานลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวได้พบกัน  วิสุทธิ์  บุษยกุล  ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องวรรณกรรมอีสาน  ได้เล่าถึงการจ่ายผญาเกี้ยวของหนุ่มสาวชาวอีสานไว้ว่า
…ในงานวัดใหญ่ๆ  จะมีหญิงสาวจากหมู่บ้านต่างๆมาเที่ยวงาน  หญืงสาวเหล่านี้จะมารวมกันอยู่ที่ปะรำที่ทางวัดจัดไว้โดยแยกเป็นหมู่บ้าน  ส่วนพวกชายหนุ่มและไม่หนุ่ม  ทั้งหลายที่เดินผ่านไม่  หากเห็นว่าปะรำไหนมีสาวงามเป็นที่ต้องตาต้องใจตน  ก็จะแวะเข้าไปนั่งคุยแทะโลมตามแต่จะทำได้  ถ้าหากว่าหญิงนั้นเป็น “จ้าคารม”  คือมีคำคมและภาษิตต่างๆ  มากพอที่จะนำมาใช้แทนการสนทนาปราศรัยสามัญแล้วฝ่ายชายเองก็จำต้องหาสำนวนและคารมโต้ตอบ  ถ้าหากฝ่ายชายเองก็มีความรู้ในทางทัดเทียมกันการเกี้ยวพาราสีของชายหญิงคู่นั้นจะอยู่ในระดับสูง  คำพูดทุกประโยคจะมีอุปมาอุปไมยแทรกอยู่เสมอ  ผู้ฟังจะต้องคอยตีความหมายอยู่ตลอดเวลา๒๓
    สำหรับหนุ่มสาวที่มาร่วมงาน  ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ประลองคารมด้วยการจ่ายผญาเครือกัน  เป็นการสร้างบรรยากาศของงานให้เป็นที่สนุกสนานครึกครื้น  โดยเฉพาะในงานศพนั้น  ชาวบ้านจะมาอยู่เป็นเพื่อนบ้านเจ้าภาพในตอนกลางคืน  ผู้เฒ่าผู้แก่จะฟังการอ่านหนังสือผูก  (เรื่องที่นิยมอ่านส่วนใหญ่จะเป็นนิทานคติธรรม  คือชาดกนอกนิบาตเช่นเรื่องการเกด  ก่ำกาดำ  ศิลป์ไชย  นางผมหอม เสียวสวาสดิ์ จำปาสี่ต้น  ผาแดงนางไอ่)  ส่วนฝ่ายหนุ่มๆก็ได้โอกาสจ่ายผญาต่อสาวที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษ
    ลักษณะทางสงคมชนบทอีสานนั้นเป็นสังคมแบบเกษตรกรรม  มีระบบการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเอง  ดังนั้นจึงหน้าอันสำคัญของชายหญิงคือการทำกสิกรรมและหัตถกรรมต่างๆประเพณีการจ่ายผญาเกี้ยวของหนุ่มสาวชาวอีสานจึงสัมพันธ์กับวิถีชีวิต  ช่วงเวลาที่หนุ่มสาวจะได้พบกันมาก  หลังจากเก็บเกี้ยวข้าวเสร็จคือในช่วงของฤดูหนาวและฤดูร้อน  ในช่วงนี้เองที่เป็นโอกาสอันเหมาะสำหรับชายหนุ่มจะได้ไปเยือนฝ่ายหญิงในตอนกลางคืน  จึงมีประเพณีการไปเกี้ยวสาวลงข่วงเข็นฝ่าย  ดังตัวอย่าง
สาว    บ่เป็นหยังดอกอ้ายเห็นชายมาก็อบอุ่น      ย่านแต่เพิ่นพุ่นบ่มาผ่ายกลายทาง
    อ้ายมาหยังมื้อนี้มีลมอันใดพัด              ซ่วยขจัดความในใจน้องแน่นา…อ้ายเอย
(ไม่เป็นไรหรอกพี่ เมื่อเห็นพี่มาก็อบอุ่น น้องยิ่งหวั่นว่าพี่จะเดินผ่านไปบ้านอื่น  พี่มีธุระอะไรหรือ ลมอะไรพัดมาจึงมาถึงบ้านน้อง ช่วยตอบให้หายข้องใจด้วยเถิด)
หนุ่ม    โอนอหล้าเอ้ย  การที่มามื้อนี้ความกกว่าอยากได้ฝ้าย
    ความปลายว่าอยากได้ลูกสาวเพิ่น 
อันเจ้าผู้ขันหมาแก้วลายเครือดอกผักแว่น
    สิไปตั้งแล่นแค่นอยู่ตีนส่วมผู้ใดนอ 
(น้องเอยธุระที่มาในวันนี้  ตอนแรกว่าจะมาดูฝ้ายแต่จุดหมายที่แท้จริงคือจะมาดูลูกสาวท่าน  น้องผู้เปรียบเสมือนขันหมากลายเถาผักแว่น จะได้ไปประดับในห้องนอนของใครหนอ)
    จากคำกล่าวทั้งสองบทนี้ทำให้รู้ว่าการสนทนากันต่างฝ่ายก็ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นคำกล่าวที่เปรียบเทียบถึงความในใจของทั้งสองฝ่าย  เมื่อจ่ายผญากันไปเลื่อยๆต่างฝ่ายก็มักจะลงด้วยการพูดมาทั้งหมดนั้นก็ให้เป็นคำพูดจริงไม่หลอกล่วงกัน  ดังตัวอย่างว่า
สาว    คันบ่จริงน้องบ่เว้า    คันบ่เอาน้องบ่ว่า
    สัจจาน้องว่าแล้ว    สิม้ายม้างแม่นบ่เป็น..เด้อ้าย
(หากไม่จริงใจน้องคงไม่พูด  สัจจะของหญิงจะผันแปรไม่ได้หรอก)
หนุ่ม    สัจจาผู้หญิงนี้บ่มีจริงจักเทื่อ    ชาติดอกเดื่อมันบ่บานอยู่ต้นตนอ้ายบ่เซื่อคน..ดอกนา.๒๔  ( น้ำคำของหญิงไม่เคยพูดจริงสักครั้ง  เหมือนดอกมะเดื่อหากไมบานอยู่บนต้น  คนย่อมไม่ประจักษ์ถึงความจริง)
    ผญาที่สะท้อนให้เห็นภาพของวิถีชีวิตของสังคมชนบทอีสานในอดีตได้เป็นอย่างดี  ภาษาที่ถูกถ่ายทอดผ่านมาทางบทกวีนั้นย่อมก่อให้เกิดความบันเทิงใจหรือความสุขใจแก่ผู้ได้ฟังเสมอ  ผญาเกี้ยวก็เป็นส่วนหนึ่งในวรรณกรรมอีสานที่บรรพบุรุษได้พยายามถ่ายทอดมาสู่อนุชนรุ่นหลัง  แต่ปัจจุบันนี้ได้ลดบทบาทลงไปมาก  คนหนุ่มสาวสมัยใหม่ไม่รู้จักคำผญาเกี้ยวเหล่านี้เลยก็มี  จะเป็นเพราะวัฒนธรรมต่างถิ่นต่างภาษาเข้ามาแทนวัฒนธรรมเก่าๆ  ก็ลดความจำเป็นไป  หนุ่มสาวชอบความบันเทิงอย่างอื่นไป
    หญิงสาวในอดีตจักรู้จักรักนวลสงวนตัว  การแต่งการก็จะระมัดระวัง การจะออกนอกบ้านแต่ละครั้งก็ต้องขออนุญาติ พ่อแม่  หรือไปที่ไหนก็ต้องมีเพื่อนไปด้วย  การให้สิทธิและเสรีภาพแก่สตรีในการเลือกคู่ครองของตน  ญาติผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวข้องด้วยมีเพียงคอยระวังมิให้ลูกสาวของตนเองเพลี่ยงพล้ำในการเลือก คือคอยสดับรับฟังว่าลูกสาวของตนติดพันอยู่กับใคร  และคอยสืบความเป็นอยู่ของผู้นั้น  ว่าดีหรือไม่ดี  ถ้าเป็นคนดีก็ส่งเสริมให้ลูกของตนผูกไมตรีไว้ให้แน่นแฟ้น  ถ้าเป็นคนไม่ดีก็ให้สลัดตัดรอนเสียแต่ต้นลม  การเลือกคู่ครองนั้นโบราณอีสานมักจะสอนว่าให้เลือกคนขยัน มีปัญญา  และเป็นชายหนุ่มที่ใจกว้างนับถือวงศาคณาญาติดังมีผญาสอนหญิงว่า
    เพิ่งเอาผัวให้หาแนวปราชญ์นั้นเนอ   ใจฉลาดฮู้คลองแท้สั่งสอน
    หญิงใดได้ผัวนามปราชญ์       เป็นที่กล่าวเว้ายอย่องทั่วแดน๒๕
    (จะมีสามีให้หาท่านผู้รู้  มีปัญญาฉลาดรู้จารีตประเพณีโบราณ  หญิงคนใดได้สามีอย่างนี้  เป็นที่นิยมทั่วไป )  ผู้ชายที่รู้จักปรัชญาในการครองเรือน  หรือได้ผ่านการบวชเรียนเขียนอ่านมาแล้วจะเป็นที่หมายป้องของสตรีในอดีตมาก  เพราะเป็นคนที่มีความอดทน  รู้หลักของนักปราชญ์  ทั้งในคดีโลกและคดีธรรม  ภูมิปรัชญาท้องถิ่นอีสานนั้นมักไม่นิยมเลือกคู่ชีวิตโดยมุ่งหาแต่สาวที่สวยงาม  แต่กลับพบว่ามักจะสอนให้เลือกเอาคนที่มีความดี รู้การบ้านการเรือน รู้ธรรมเนียมของหญิง ไม่เป็นเกียจคร้าน  ดังผญาคำสอนว่า
    อันหนึ่งครั้นจักเอาหญิงให้เป็นนางใภ้ฮ่วมเฮือน
    หญิงใดฮู้ฉลาดตั้งต่อการสร้างก็จึงเอานั้นเนอ
    อันหนึ่งรู้ฮีตเฒ่าสอนสั่งตามคลอง
    การเฮือนนางแต่งแปลงบ่มีคร้าน
    หญิงนี้ควรเอาแท้เป็นนางใภ้ฮ่วมเฮือน๒๖
    ผญาเกี้ยวที่นำมาเสนอในที่นี้เพื่อการศึกษาถึงคนในสังคมอดีต  จึงมิใช่เป็นการเรียกร้องหรือเหนี่ยวรั้งภาพสะท้อนถึงวิถีชิวิตในอดีตให้หวนกลับคืนมาได้อีก  เพราะนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อยาก  แต่เป็นการศึกษาเพื่อให้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมภาษาที่สะภาพถึงวิถีทางสังคมในปัจจุบัน นั้นคือรากฐานดั่งเดิมทางวัฒนธรรมประเพณีตลอดถึงวิสัยทัศน์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น นั้นคือความเป็นเราอย่างแท้จริง
    คำผญาเกี้ยว นี้เป็นคำที่หนุ่มสาวใช้พูดจากัน  เพื่อให้เกิดความรักใคร่ซึ่งกันและกัน  มักจะกล่าวเป็นคำกลอนคล้องจองกันเป็นคำเปรียบเทียบ  นิยมพูดถึงรูปร่างลักษณะ ฐานะ  ยศศักดิ์  ของบุคคลนั้น 

bandonradio

ส่งข่าวถึงกันและกัน

Recent Posts

www.bandonradio.blogspot.com = คลื่นแห่งสาระบันเทิง ..

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons